ประโยชน์ของคอลลาเจนเปปไทด์ ไม่ได้มีดีแค่เรื่องผิว!

ประโยชน์ของคอลลาเจนเปปไทด์ ไม่ได้มีดีแค่เรื่องผิว!

ประโยชน์ของคอลลาเจนไตร์เปปไทด์ไม่มีแค่เรื่องผิว ?

คอลลาเจนเปปไทด์ คืออะไร ?

คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen peptides) คือ การสกัดคอลลาเจนให้อยู่ในรูปของสายกรดอะมิโนที่สั้นขึ้น โดยนำคอลลาเจนที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่มาผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ (Hydrolysis) หรือปฏิกิริยาที่มีน้ำเข้าไปสลายพันธะทำให้สารโมเลกุลใหญ่ แตกตัวเป็นสารที่มีโมเลกุลเล็กลงทำให้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายขึ้น เนื่องจากร่างกายต้องใช้เพื่อสร้างเนื้อเยื่อ ผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน ข้อต่อ และหลอดเลือด คอลลาเจนเปปไทด์มีโปรตีนมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ ไกลซีน (glycine) ไฮดรอกซีโพรลีน (hydroxyproline) และโพรลีน (proline)

 

คอลลาเจนเปปไทด์ต่างจากคอลลาเจนปกติอย่างไร ?

คอลลาเจนเปปไทด์ต่างจากคอลลาเจนแบบปกติ คือ คอลลาเจนเปปไทด์ร่างกายจะมีการดูดซึมได้เร็วกว่าคอลลาเจนปกติ เนื่องจากคอลลาเจนเปปไทด์ผ่านกระบวนการไฮโดรไลซ์ (Hydrolysis) ซึ่งอยู่ในรูปของสายกรดอะมิโนที่สั้นขึ้น จะมีขนาดโมเลกุลอยู่ที่ประมาณ 2,000 ดาลตัล ซึ่งคอลลาเจนแบบปกติทั่วไปอาจจะมีขนาดโมเลกุลอยู่ที่ประมาณมากกว่า 300,000 ดาลตัน ขนาดโมเลกุลที่เล็กกว่าของคอลลาเจนเปปไทด์จึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็วกว่า และมีประสิทธิภาพในการดูดซึมมากกว่าคอลลาเจนแบบปกติ

คอลลาเจนเป็นส่วนประกอบของอะไรในร่างกายบ้าง ?

ผิวหนัง กระดูก ผนังหลอดเลือด และเอ็นยึดกล้ามเนื้อ

คอลลาเจนประเภทที่ 1 (type I) พบมากถึง 90% ของคอลลาเจนทั้งหมดในร่างกาย คอลลาเจนประเภทนี้จะช่วยในการสร้างกระดูก ผนังหลอดเลือด เอ็นและเอ็นยึดกล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระจกตา และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มีความเหนียวและแข็งแรงมากที่สุด โดยจะมีความสำคัญในเรื่องของเพิ่มความยืดหยุ่น ป้องกันเนื้อเยื้อไม่ให้ฉีกขาด และช่วยสมานแผลบนผิวหนังได้ดี ด้วยเหตุนี้ผิวของผู้ที่มีคอลลาเจนอย่างเพียงพอจึงสวย เนียน และไร้ริ้วรอย

กระดูกอ่อนและข้อต่อต่าง ๆ

คอลลาเจนประเภทที่ 2 (type II) พบมากในกระดูกอ่อน เช่น ส่วนประกอบของหู จมูก หลอดลม และกระดูกซี่โครง คอลลาเจน type II จะทำหน้าที่แตกต่างจากคอลลาเจน type I โดยจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์ของเซลล์ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อการลดอัตราการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ ซึ่งคอลลาเจนชนิดที่ 2 เป็นคอลลาเจน ที่พบได้ในกระดูกอ่อนและหมอนรองกระดูกสันหลัง จะทำหน้าที่รองรับน้ำหนักและให้ความแข็งแรงแก่ข้อต่อในขณะที่มีการเคลื่อนไหว ปกติแล้วในกระดูกอ่อนจะประกอบด้วยโครงข่ายของเส้นใยคอลลาเจน type II รวมตัวกับกรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic acid) และโปรตีโอไกลแคน (Proteoglycan) ได้แก่ แอกกริแคน (Aggrecan) ซึ่งมีไกลโคอะมิโนไกลแคน (Glycoaminoglycans) คือคอนโดอิติน ซัลเฟต (Chondroitin Sulfate) และเคอราแทน ซัลเฟต (Keratan Sulfate) เป็นส่วนประกอบ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่น้ำหนักตัวมาก และผู้สูงอายุ กระดูกอ่อนชนิด Articular Cartilages ที่มีความทนต่อแรงกระแทกจะเริ่มเสื่อมลงโดยเฉพาะที่ข้อต่อที่รับน้ำหนักเช่นข้อเข่าและสะโพก จึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับภาวะการเกิดข้อเสื่อม ข้ออักเสบ (Osteoarthritis)

เส้นผมและเยื่อบุเซลล์ต่าง ๆ 

คอลลาเจนประเภทที่ 5 (type V) เป็นคอลลาเจนที่เป็นองค์ประกอบของเยื่อบุเซลล์ต่าง ๆ พบในผิวของเซลล์ และเส้นผม

ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ผนังหลอดเลือด

คอลลาเจนประเภทที่ 3 (type III) มักพบร่วมกับประเภทที่ 1 คือพบในผิว กล้ามเนื้อ และผนังหลอดเลือด และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันในร่างกาย สามารถพบร่วมกับคอลลาเจนชนิดที่ 1 แต่พบได้น้อยกว่าประมาณ 10 % โดยส่วนใหญ่มักพบในผนังหลอดเลือด แต่พบได้น้อยในข้อต่อต่าง ๆ ซึ่งแตกต่างจากคอลลาเจนชนิดที่ 2

เนื้อเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ และไขมัน

คอลลาเจนประเภทที่ 4 (type IV) พบใน basal lamina และ basement membrane ในส่วนของ epithelium-secreted layer ซึ่งเป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยจะพบมากบริเวณเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่หุ้มกล้ามเนื้อและไขมัน นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในเรื่องการทำงานของระบบประสาทและเส้นเลือดอีกด้วย

ประโยชน์ของคอลลาเจนเปปไทด์

 ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง เนียนนุ่มชุ่มชื้น การบริโภคคอลลาเจนเปปไทด์ จะช่วยเพิ่มอิลาสตินในชั้นผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นและเติมเต็มให้ผิวแน่นอิ่มฟูขึ้น นอกจากนี้ จำนวนอิลาสตินที่เพิ่มขึ้น ยังมีส่วนช่วยให้ผิวดูเรียบเนียน อ่อนกว่าวัย

ช่วยบำรุง และฟื้นฟูสภาพผิวให้แข็งแรง คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกายประมาณ 1 ใน 3 และจะเสื่อมสภาพไปเมื่อเข้าสู่ช่วยอายุ 30 ปี ร่างกายของเราจะผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง การรับประทานอาหารเสริมที่มีคอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen peptide) จะช่วยทดแทนคอลลาเจนที่เสื่อมสภาพไปได้ ส่งผลให้ผิวพรรณมีความเต่งตึง และชุ่มชื้นมากขึ้น แดก

ช่วยลดอาการหลุดร่วงของเส้นผม บำรุงผมให้แข็งแรง คอลลาเจนเปปไทด์จะช่วยเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโปรตีนไฟเบอร์มากขึ้น ซึ่งโปรตีนไฟเบอร์เหล่านี้คือส่วนประกอบของโครงสร้างเส้นผม ถ้าเส้นผมเราขาดโปรตีนไฟเบอร์แล้ว เส้นผมจะอ่อนแอและขาดหลุดร่วงง่าย เกล็ดผมปิดไม่สนิท ผมจึงแห้งกร้าน ชี้ฟูและแตกปลาย

ช่วยเพิ่มน้ำในข้อต่อ ลดการเสียดสีของข้อเข่า คอลลาเจนเปปไทด์มีส่วนสำคัญที่ช่วยในการลดอัตราการเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อโดยมีสารสำคัญ คือ เอพพิโทพส์ (Epitopes) โดยจะไปหยุดกระบวนการทำลายของกระดูกอ่อน ซึ่งจะช่วยต้านการอักเสบ ช่วยลดการเสียดสีของข้อเข่า และช่วยทำให้เคลื่อนไหวข้อได้ดีขึ้น ทำให้ผู้ป่วยโรคข้อเสื่อมมีอาการดีขึ้น
“ลำไส้” มีหน้าที่สำคัญอย่างไรในร่างกาย

“ลำไส้” มีหน้าที่สำคัญอย่างไรในร่างกาย

ลำไส้มีหน้าที่สำคัญอย่างไร?

คนส่วนใหญ่มักนึกถึงสุขภาพของหัวใจ ปอดและสมอง มาก่อนอวัยวะอื่น แต่รู้หรือไม่ว่าลำไส้ก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่ากันในเรื่องของสุขภาพ ในความเป็นจริง ระบบทางเดินอาหารเปรียบเสมือนเครื่องฟอกของเสียที่ทำให้ร่างกายสะอาดและเป็นเครื่องผลิตพลังงาน ระบบการย่อยอาหารที่ดีมีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย เมื่อระบบการย่อยอาหารขาดสมดุล ร่างกายจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ส่งผลให้มีอาการเหนื่อยล้า ขาดสมาธิหรือนำไปสู่โรคร้ายแรงเช่น มะเร็ง ดังนั้นการดูแลระบบย่อยอาหารให้แข็งแรงจึงช่วยส่งเสริมการทำงานของหัวใจ ปอดและสมอง เพื่อให้มีสุขภาพโดยรวมที่ดี
 

ความสำคัญของระบบย่อยอาหารที่มีต่อสุขภาพที่ดีโดยรวม

ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยระบบทางเดินอาหาร (GI) ตับ ตับอ่อนและถุงน้ำดี

โดยระบบทางเดินอาหารจะมีอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายท่อกลวง ยาวคดเคี้ยวจากปากไปสู่ทวารหนัก อวัยวะที่เป็นท่อกลวงนี้ประกอบด้วยปาก หลอดอาหาร ท้อง ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ในส่วนของตับ ตับอ่อนและถุงน้ำดีเป็นอวัยวะของระบบย่อยอาหารที่มีลักษณะเป็นเนื้อแน่น

อวัยวะของร่างกายเหล่านี้มีความสำคัญหลายอย่าง ซึ่งอวัยวะเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อให้สามารถทำงานได้ตามปกติและแข็งแรง โดยต้องการโปรตีน ไขมัน วิตามินและน้ำเพื่อเป็นสารอาหารให้แก่ร่างกาย หลังจากได้รับสารอาหารระบบย่อยอาหารจะย่อยสารอาหารเหล่านี้เป็นชิ้นส่วนเล็กๆพอที่ร่างกายจะดูดซึมได้ หลังจากนั้นร่างกายจะนำสารอาหารไปใช้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและซ่อมแซมเซลล์

หลังจากระบบย่อยอาหารทำหน้าที่ให้สารอาหารแก่ร่างกาย 

หน้าที่ทำความสะอาดมีความสำคัญพอๆกับให้สารอาหารแก่ร่างกาย ซึ่งจำเป็นต้องกำจัดของเสียจากการย่อยอาหาร การทำความสะอาด หมายรวมถึงเศษอาหารที่ร่างกายไม่ได้ย่อย ของเหลวและเซลล์เก่าจากเยื่อบุภายในลำไส้ ซึ่งทำโดยการดูดซึมน้ำและเปลี่ยนของเสียจากน้ำให้กลายเป็นอุจจาระ กระบวนการทำงานของลำไส้ที่เรียกว่า Peristalsis หรือการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อในทางเดินอาหารช่วยทำให้อุจจาระเคลื่อนไหวไปยังทวารหนักและลำไส้ตรงซึ่งอยู่ปลายสุดของลำไส้จะเก็บอุจจาระไว้จนกระทั่งถูกเบ่งออกมาจากทวารหนักระหว่างการเคลื่อนไหวของลำไส้

ปัญหาสุขภาพลำไส้ที่พบบ่อย 

มะเร็งลำไส้หรือที่เรียกว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งลำไส้ตรง เป็นโรคที่พบได้มากที่สุดโรคหนึ่งของลำไส้ อาการของมะเร็งในระยะที่ 3 และ 4 จะทำให้มีอาการเหนื่อยล้า อ่อนแรงลงและ น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ รวมถึงความรู้สีกถ่ายไม่สุด ลักษณะของอุจจาระมีการเปลี่ยนแปลงมานานกว่าหนึ่งเดือน

อีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังซึ่งเกิดจากการอักเสบของระบบทางเดินอาหารเรื้อรัง หากเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานจะทำให้ลำไส้เสียหาย อาการของโรคทั่วๆไปคือรู้สึกไม่สบายท้องหรือปวดท้อง มีแก๊สในท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องผูกและ/หรืออาเจียน

นอกจากนี้ ยังมีโรคทางทวารหนักที่มีผลกระทบต่อทวารหนักและลำไส้ตรง ซึ่งรวมถึงโรคริดสีดวงทวาร แผลปริที่ขอบทวารหนักและโรคฝีคัณฑสูตร ทำให้เกิดอาการ เช่น เจ็บปวด คัน แสบร้อน เลือดไหลและ/หรือบวม อาการเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของผู้ป่วย

จะรักษาสุขภาพของลำไส้ได้อย่างไร

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรรับประทานผัก ผลไม้และธัญพืชให้มาก อาหารประเภทนี้มีคุณค่าทางโภชนาการและมีกากใยสูง ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้และทวารหนัก

อาหารประเภทเนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมูและเนื้อแกะ ทำให้มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้และทวารหนักมากขึ้น เช่นเดียวกับอาหารแปรรูป เช่น ฮอทดอก ไส้กรอก และอาหารมื้อเที่ยงหรือมื้อว่างจำพวกเนื้อสัตว์ที่พร้อมรับประทาน (cooked meats) เนื้อตัดเย็น (cold cuts) และเนื้อเดลี่

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ : หากคุณไม่ออกกำลังกาย คุณมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งลำไส้และทวารหนักเพิ่มขึ้น การออกกำลังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค

ควบคุมน้ำหนัก : ภาวะน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้หรือมะเร็งทวารหนัก การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ร่วมกับการออกกำลังกายช่วยควบคุมน้ำหนักและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง

ไม่สูบบุหรี่ : หากสูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานอาจมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้หรือมะเร็งทวารหนักมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : การบริโภคแอลกอฮอล์มีความเชื่อมโยงกับโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก ดังนั้นทางที่ดีทคือ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่หากคุณต้องการดื่มแลกอฮอลล์ สมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Cancer Society) แนะนำว่า ผู้ชายไม่ควรดื่มเกินสองแก้วต่อวัน และผู้หญิงไม่ควรเกินหนึ่งแก้วต่อวัน

ประโยชน์ของวิตามินซี(Vitamin C)

ประโยชน์ของวิตามินซี(Vitamin C)

การรับประทานวิตามินซีครั้งละ1,000-1,500 มิลลิกรัม พบว่าร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีได้เพียง 50% นอกจากนี้ยังพบว่าขนาดของวิตามินซีที่รับประทานต่อครั้งมีผลต่อการดูดซึม คือการรับประทานวิตามินซีขนาดสูงร่างกายจะดูดซึมวิตามินได้น้อยกว่าการรับประทานวิตามินซีขนาดต่ำ ดังนั้นการรับประทานวิตามินซีวันละหลายครั้งในขนาดที่ต่ำกว่า 1 กรัม จนครบขนาดที่แนะนำต่อวัน ร่างกายจะสามารถดูดซึมวิตามินซีได้มากกว่าการรับประทานทั้งหมดในครั้งเดียว นอกจากนี้ปริมาณการดูดซึมวิตามินซียังอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับรูปแบบและส่วนประกอบอื่นๆ ในผลิตภัณฑ์

ปริมาณวิตามินซี ที่ควรได้รับต่อวัน?

1.ผู้ชายควรได้รับวิตามินซี 100 มิลลิกรัมต่อวัน

2.ผู้หญิงควรได้รับวิตามินซี 85 มิลลิกรัมต่อวัน

3.หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินซี 95 มิลลิกรัมต่อวัน

4.ส่วนหญิงให้นมบุตรควรได้รับวิตามินซี 145 มิลลิกรัมต่อวัน

5.ผู้สูบบุหรี่ควรได้รับวิตามินซีเพิ่มอีกจากปกติ 35 มิลลิกรัมต่อวัน

6.ในกรณีผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดจะมีความต้องการวิตามินซีเพิ่มขึ้น ปริมาณที่ควรได้รับอยู่ระหว่าง 200-500 มิลลิกรัมต่อวัน

7.ในกรณีรับประทานเพื่อช่วยในเรื่องภูมิต้านทานร่างกายและการบำรุงผิวพรรณควรทานวิตามินซีวันละ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

ประโยชน์ของ วิตามินซี ช่วยอะไรบ้าง?

วิตามินซี มีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ ลดการเกิด lipid peroxidation และยับยั้งการสร้างสารก่อมะเร็ง ไนโตรซามีน (nitrosamine) วิตามินซีมีความสำคัญต่อการสังเคราะห์ คอลลาเจน (collagen) คาร์นิทีน (carnitine) และสารส่งผ่านประสาท (neurotransmitter) มีบทบาทต่อเมตาบอลิซึมของกรดอะมิโนและคาร์โบไฮเดรต ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก รวมถึงการเพิ่มภูมิต้านทาน

สารสกัดส้มแขก ช่วยลดนำ้หนักจริงไหม?

สารสกัดส้มแขก ช่วยลดนำ้หนักจริงไหม?

ส้มแขก สรรพคุณช่วยลดน้ำหนัก

ส้มแขก หรือ การ์ซิเนีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia cambogia หรือ Garcinia atroviridis แล้วแต่สาย

พันธุ์ ต้นส้มแขกมีมากทางอินเดียตอนใต้ และแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อว่า

Malabar Tamarind, Brindle berry พืชตระกูลการ์ซิเนียมีหลายสายพันธ์ เช่น มังคุด เป็นพืชในตระกูลการ์

ซิเนียเช่นกัน พืชตระกูลนี้ส่วนใหญ่มีอยู่ในแถบอินโดจีน

สารสกัดจากผลส้มแขก ในตัวผลและเปลือกผล คือ กรดไฮดรอกซีซิตริก (hydroxycitric acid) หรือเรียกว่า

HCA เป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วย ลดไขมันส่วนเกินของร่างกาย โดยสาร HCA จะช่วยยับยั้งการทำงานของเอ็น

ไซม์ เอทีพี ซิเตรทไลเอส (ATP-citrate lyase) ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนกลูโคสจากคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นไขมัน

สะสม สามารถยับยั้งกระบวนการไลโปจีเนซีส (Lipogenesis)ในการสร้างกรดไขมันและคอเลสเตอรอล ในวัฎ

จักรเครปได้ รวมทั้งช่วยให้ไม่รู้สึกอยากอาหาร โดยไม่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลางอย่างใด สามารถนำไปเป็น

สารสกัดในผลิตภัณฑ์กาแฟลดน้ำหนัก หรือผลิตภัณฑ์ช่วยลดน้ำหนักอื่นๆได้

ประโยชน์ของสารสกัด ส้มแขก Garcinia Extract

1.มีส่วนช่วยเร่งระบบเผาผลาญของอาหาร

2.มีส่วนช่วยดักจับแป้งและไขมันจากอาหารที่รับประทานเข้าไป

3.สารสกัดจากส้มแขกมีส่วนทำให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนไหวเร็วขึ้นและขับไขมันออก

4.เนื่องจากส้มแขกมีกรดไฮดรอกซีซิตริก ที่มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำหนักและช่วยลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย

5.มีส่วนช่วยสกัดกั้นการเปลี่ยนแปลงของคาร์โบไฮเดรต ไม่ให้เปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตาร่างกาย แต่จะนำไปเป็นพลังงานในร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย

6.มีส่วนกระตุ้นให้มีการดึงเอาไขมันที่สะสมในร่างกายมาใช้เป็นพลังงาน

7.ส้มแขกมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยลดความอยากอาหาร ความรู้สึกหิวอาหาร

8.ส้มแขกมีคุณสมบัติใช้เป็นยาระบายอ่อนๆ

สรรพคุณส้มแขก

-ลดน้ำหนัก

ในส้มแขกมีสาร Hydroxycitric Acid (HCA) ซึ่งช่วยในการยับยั้งการสร้างไขมัน และคอเลสเตอรอล ช่วยเผาผลาญไขมันสะสม และช่วยลดความอยากอาหาร จึงมีผลต่อน้ำหนักในร่างกาย ทำให้น้ำหนักในร่างกายลดลงได้

-ลดไขมัน

สาร Hydroxycitric Acid (HCA) ในส้มแขกจะช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ เอทีพี ซิเตรทไลเอส (ATP-citrate lyase) ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนกลูโคสจากคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นไขมันสะสม และสามารถยับยั้งกระบวนการไลโปจีเนซีส (Lipogenesis) ในการสร้างกรดไขมัน และคอเลสเตอรอลได้ ส้มแขกจึงช่วยในการลดไขมันในร่างกาย

-เร่งระบบเผาผลาญของร่างกาย

สารสกัดจากส้มแขก เร่งระบบการเผาผลาญอาหาร มีส่วนช่วยดักจับแป้ง และไขมันจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ช่วยทำให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนไหวตัวได้เร็วขึ้น และขับไขมันออกมาเป็นยาระบายแบบอ่อน ๆ

-ส้มแขกมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ

ใบสดนำมารับประทานช่วยแก้อาการท้องผูกได้ จึงช่วยในการขับถ่าย การระบายของเสีย

-ลดความอยากอาหาร

สาร HCA ในส้มแขกจะช่วยกระตุ้นการหลั่งของ Serotonin ในสมอง ส่งผลให้ความอยากอาหารลดลง ความรู้สึกหิวน้อยลงได้ ขับเสมหะ และรักษาอาการไอ

-ดอกของส้มแขก

ช่วยในการขับเสมหะ และบรรเทาอาการไอได้

10 เทคนิคในการปั้นแบรนด์อาหารเสริมให้ปัง!!!

10 เทคนิคในการปั้นแบรนด์อาหารเสริมให้ปัง!!!

ปัจจุบันธุรกิจอาหารเสริมยังคงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจำนวนมากด้วย

เทรนด์รักสุขภาพที่ยังไม่หนีไปไหน การลงทุนสั่งผลิตอาหารเสริมเกิดขึ้นต่อ

เนื่อง และถ้าหากคุณคือหนึ่งในคนที่สนใจและอยากสร้างแบรนด์อาหารเสริม

ของตนเองให้ปัง มีเทคนิคอะไรที่ควรรู้บ้าง มาปั้นแบรนด์อาหารเสริมให้พุ่ง

แรงไม่หยุดกับ 10 วิธีเหล่านี้เลย

1.กำหนดกลุ่มเป้าหมายและประเภทสินค้าให้ชัดเจน

สิ่งแรกที่คุณจะสร้างแบรนด์อาหารเสริมได้ก็ต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายของธุรกิจเป็นใคร อาจใช้หลักการกำหนด Segment ทั้งเพศ อายุ รายได้ การศึกษา พฤติกรรมการใช้ชีวิต เมื่อรู้แล้วว่าใครคือกลุ่มคนที่ต้องการขายให้คราวนี้ก็เข้าสู่การเลือกประเภทสินค้าที่ตอบโจทย์กับคนกลุ่มดังกล่าว

2.คิดค้นสูตรอาหารเสริมให้ได้มาตรฐาน

ขั้นตอนต่อมาเป็นการคิดสูตรตัวอาหารเสริมให้เข้ากับเทรนด์ของลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายที่คุณกำหนดเอาไว้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องกังวลใจสามารถพูดคุยปรึกษากับโรงงานอาหารเสริมได้ เขาจะมีเจ้าหน้าที่ที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะคอยให้การดูแล เพื่อให้สามารถผลิตอาหารเสริมได้ตามความต้องการ

3.ทดสอบสูตรอาหารเสริมพร้อมยื่นขอการรับรอง

เรื่องควรรู้อย่างหนึ่งสำหรับคนที่จะทำธุรกิจอาหารเสริมนั่นคือเมื่อคุณได้สูตรที่ลงตัวแล้วต้องมีการทดสอบเบื้องต้นถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงเพื่อเอาไว้ใช้โปรโมตโฆษณา เมื่อผลเป็นไปตามที่คาดหวังก็ส่งสูตรไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. และ ฆอ. เพื่อให้ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย และยังเป็นเสมือนเครื่องหมายยืนยันให้ลูกค้ามั่นใจ

4.ออกแบบบรรจุภัณฑ์

อย่าพึ่งรีบร้อนที่จะสั่งให้โรงงานอาหารเสริมผลิตสินค้าทันทีถ้ายังไม่มีบรรจุภัณฑ์ หากเปรียบแล้วก็เหมือนเสื้อผ้าหากออกแบบมาสวย น่าสนใจ น่าใช้งาน ลูกค้าก็จะเกิด First Impression ที่ดี และอยากทดลองใช้งาน

5.เริ่มทำการตลาดได้เลย

หลังจากตัวสินค้าและบรรจุภัณฑ์เสร็จแล้วในระหว่างที่คุณกำลังสั่งผลิตอาหารเสริมก็ควรต้องเริ่มทำการตลาดเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้พร้อมกัน เพื่อเวลาสินค้าผลิตออกมาเรียบร้อยจะสามารถวางขายได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาโฆษณาอีกอย่างน้อย 1-2 เดือน เป็นการเสียต้นทุนเวลาโดยใช่เหตุ

6.อัดโฆษณาการตลาดให้แน่นตามช่องทางที่เหมาะสม

เมื่อสินค้าผลิตเสร็จเรียบร้อยและเริ่มมีลูกค้ากลุ่มหนึ่ง เทคนิคต่อมาหากต้องการสร้างแบรนด์อาหารเสริมให้ปังคุณต้องอัดโฆษณาการตลาดให้แน่นตามช่องทางที่กุล่มเป้าหมายมักเสพบ่อย ๆ เช่น หากเป็นวัยรุ่น วัยทำงาน เน้นไปที่โฆษณาผ่าน Social Media การใช้ Influencer แต่ถ้าเป็นกลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป การโฆษณาทีวียังคงได้ผลดีไม่แพ้กัน

7.เพิ่มโปรโมชั่นหากยอดขายช่วงแรกไม่ดี

เป็นเรื่องปกติในการทำแบรนด์สินค้าใหม่ในช่วงแรกมันอาจยังไม่ได้ตามเป้าหมายที่คุณคาดหวังไว้ วิธีง่าย ๆ คือ สร้างโปรโมชั่นให้ลูกค้าเกิดความสนใจ เช่น การลดราคา การแถมสินค้าตัวใหม่ให้ทดลอง การสะสมแต้มเพื่อรับสิทธิพิเศษอื่น ๆ ในอนาคต เป็นต้น

8.ประเมินสต็อกสินค้าแล้วสั่งผลิตให้เพียงพอ

เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 เดือนจะเริ่มเห็นแล้วว่าปริมาณยอดขายในแต่ละเดือนเป็นยังไง มากน้อยเท่าใดสิ่งที่ต้องทำคือพยายามสั่งผลิตอาหารเสริมให้เพียงพอกับสต็อกสินค้าอยู่เสมอ อย่าให้ขาดตลาดเป็นอันขาดเพราะลูกค้าจะเกิดความรู้สึกเชิงลบทันที ด้วยอาหารเสริมเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องใช้งานประจำ

9.พัฒนาสินค้าสูตรใหม่ต่อยอดแบรนด์ของตนเอง

ย้ำว่าหากคุณเริ่มประสบความสำเร็จจากผลิตภัณฑ์ตัวแรกแล้วยังอยากทำให้แบรนด์เติบโตอย่านิ่งเฉยแต่ควรคิดสูตรและพัฒนาสินค้าตัวใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้ชื่อของแบรนด์เกิดการจดจำจากกลุมคนในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการคิดค้นและพัฒนาสูตรก็เหมือนเดิมนั่นคือลองปรึกษากับโรงงานอาหารเสริม

10.กำหนดแผนการตลาดในอนาคต

การทำธุรกิจประเภทใดก็ตามหลังจากประสบผลสำเร็จระดับหนึ่งแล้วต้องมีการวางแผนเพื่ออนาคตขั้นต่อไป อีก 1 ปี 3 ปี 5 ปี ข้างหน้าจะเดินแบบไหน เทรนด์ผู้บริโภคเป็นอย่างไร ช่องทางการขาย การโฆษณาควรออกไปทิศทางไหน เป็นต้น